เปลี่ยนผ้าเบรค จำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่ดี เพราะเรื่องเบรคนั้นเป็นเรื่องอันดับต้นๆของความปลอดภัยในการขับขี่ การ เปลี่ยนผ้าเบรค จึงเป็นสิ่งที่เราควรทราบ
ผ้าเบรกคือ อุปกรณ์สำคัญในระบบเบรกของรถยนต์ซึ่งคอยทำหน้าที่สร้างแรงเสียดทานเพื่อห้ามล้อ โดยเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณสามารถลดความเร็วในการเดินทางให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อการขับขี่ได้ รวมไปถึงจะช่วยให้คุณหยุดรถหากเกิดเหตุฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งการดูแลรักษารถยนต์ของหลายๆ คนนั้น อาจจะใส่ใจในส่วนอื่นๆ จนลืมนึกถึงความสำคัญของผ้าเบรคไป แต่จริงๆ แล้ว คุณจำเป็นที่จะต้องหมั่นเช็คและ เปลี่ยนผ้าเบรค ให้อยู่สภาพที่พร้อมใช้งานเสมอ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นนั่นเอง
ผ้าเบรคที่ใช้กันโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไปดังต่อไปนี้
ผ้าเบรคที่มีส่วนผสมของแร่ใยหินเป็นองค์ประกอบหลัก มีราคาถูก สร้างแรงเสียดทานได้ดีเยี่ยมท่ามกลางอุณหภูมิต่ำ แต่จะใช้งานได้ไม่เต็มที่ในอุณหูมิสูงๆ
เป็นผ้าเบรคที่มีส่วนผสมของใยสังเคราะห์ มีจุดเด่นคือ น้ำหนักเบา ควบคุมง่าย สร้างแรงเสียดทานได้ดีเยี่ยม แต่ก็ยังไม่สามารถใช้งานในอุณหภูมิที่สูงมากๆ ได้เช่นเดียวกับผ้าเบรค Asbestos
สำหรับผ้าเบรคชนิดนี้มีส่วนประกอบหลักเป็นใยเหล็ก สามารถใช้งานได้ดีท่ามกลางอุณหภูมิสูง ทนความร้อน แต่เป็นผ้าเบรคที่เกิดเสียงดังได้ง่าย
เป็นผ้าเบรคที่มีส่วนประกอบหลักเป็นผงเหล็กขึ้นรูป สามารถใช้งานได้ดีในอุณหภูมิที่สูงมาก พร้อมแรงเสียดทานดีเยี่ยม
ผ้าเบรคที่มาพร้อมเทคโนโลยีในการผลิตขั้นสูง มีคุณสมบัติครบถ้วนโดดเด่นกว่าผ้าเบรคชนิดอื่นๆ ซึ่งทำให้สมรรถนะในการเบรคเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
และนี่ก็คือชนิดของผ้าเบรคที่มีใช้อยู่ทั่วไป ซึ่งคุณควรทำความเข้าใจและศึกษาให้ดี ว่ารถยนต์ของคุณเหมาะกับการใช้ผ้าเบรคชนิดใด เพื่อจะได้เลือกใช้ผ้าเบรคได้อย่างเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้ดีที่สุด
การดูแลรักษาผ้าเบรคเป็นสิ่งจำเป็นควบคู่ไปกับการศึกษาสภาพของผ้าเบรคว่ายังพร้อมใช้งานอยู่หรือไม่ ในส่วนนี้มาดูกันว่า เราจะมีวิธีสังเกตได้อย่างไรเมื่อรถยนต์ของคุณต้องเปลี่ยนผ้าเบรค เพื่อให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น โดยมีวิธีสังเกตว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรคดังนี้
การเหยียบเบรครถของคุณ หากมีความยากขึ้นกว่าปกติ หรือคุณจำเป็นต้องเหยียบให้ลึกขึ้นกว่าเดิม นั่นแสดงว่าเกิดปัญหาที่ผ้าเบรคแน่นอน โดยอาจมีความสึกหรอจนเสื่อมสภาพ ไม่สามารถใช้งานต่อได้แล้วนั่นเอง
ปกติแล้วการเปลี่ยนผ้าเบรค ควรเปลี่ยนทุกๆ ระยะทาง 25,000 กม. เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของผ้าเบรคอย่างเต็มที่ เพราะการใช้งานนานเกินกว่าระยะเวลาที่เหมาะสม จะทำให้ผ้าเบรคเกิดการเสื่อมสภาพหรือสึกหรอและทำให้เกิดอันตรายในการขับขี่ได้ ซึ่งคุณควรนำรถยนต์เข้าศูนย์เพื่อตรวจสภาพผ้าเบรคทุกๆ 4,000 กม.
นอกจากจะเหยียบเบรคยากขึ้นแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สังเกตได้ง่ายหากผ้าเบรคใกล้เสื่อมสภาพ ก็คือเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดในช่วงเหยียบเบรค ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าผ้าเบรคของคุณบางลงมากแล้ว และควรเปลี่ยนผ้าเบรคสักที
เมื่อคุณพบว่าไฟเตือนเบรคมือเป็นสีแดงค้างที่บริเวณตัวเรือนไมล์ สาเหตุหลักๆ ก็มาจากอาการเสื่อมสภาพหรือสึกหรอของตัวผ้าเบรคบนจานเบรคนั่นเอง และแน่นอนว่าเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกได้ว่าควรเปลี่ยนได้แล้ว
อีกหนึ่งข้อสังเกตในการเช็คสภาพผ้าเบรค ก็คือการดึงเบรคมือ หากคุณรู้สึกว่าดึงเบรคมือได้ยากมากขึ้น ต้องดึงสูงขึ้นกว่าปกติ นั่นก็หมายความว่าผ้าเบรคของคุณกำลังบางลงจนใกล้เสื่อมสภาพอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนผ้าเบรค มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อผ้าเบรคเสื่อมสภาพและยังคงฝืนใช้ต่อไป ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้นหากพบเห็นความผิดปกติตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ก็ควรเปลี่ยนในทันที ซึ่งทางที่ดีควรเปลี่ยนผ้าเบรคทุกๆ 6 เดือนจะดีที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเพิ่มสมรรถนะของรถยนต์ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
ผ้าเบรกคือ อุปกรณ์ที่คนรักรถทั้งหลาย ควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ โดยหมั่นตรวจเช็คสภาพของผ้าเบรคบ่อยๆ เพื่อความอุ่นใจว่ายังคงใช้งานได้ปกติ แต่ทั้งนี้หากคุณมีผ้าเบรคที่มีคุณภาพและใช้งานได้ตอบโจทย์ตามความต้องการแล้ว ก็อย่าลืมเพิ่มสมรรถนะของรถยนต์ของคุณด้วยเทคโนโลยี GPS กันด้วย ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่สามารถติดตั้งได้ง่าย และช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับคุณได้ดี โดยจะทำให้การขับขี่รถยนต์ของคุณเป็นไปด้วยความสบายใจไร้ความกังวลมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับปัญหาใดบนท้องถนนก็ตาม
เปลี่ยนผ้าเบรค จำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่ดี เพราะเรื่องเบรคนั้นเป็นเรื่องอันดับต้นๆของความปลอดภัยในการขับขี่ การ เปลี่ยนผ้าเบรค จึงเป็นสิ่งที่เราควรทราบ