ต้องคำนึงถึงสเปคของรถยนต์เสมอ
เนื่องจากมีข้อกำหนดในการเติมลมยางรถยนต์ไม่เท่ากันในรถยนต์แต่ละประเภทและยี่ห้อ ดังที่ระบุในคู่มือประจำรถ หรืออาจใช้วิธีสังเกตง่าย ๆ จากข้อความบนโลหะตรงขอบประตูก็ได้ ทั้งนี้มีหลักการง่าย ๆ ว่า
- รถยนต์ทั่วไปสี่ล้อขนาดเล็ก ควรเติมลมยางในช่วง 25 ถึง 30 ปอนด์ (หน่วยเต็ม ๆ คือ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)
- รถยนต์สี่ล้อขนาดใหญ่ เช่น รถครอบครัว 7 ที่นั่ง ควรเติมลมยางในช่วง 30 ถึง 35 ปอนด์
- รถกระบะสำหรับขนส่งสินค้าต่าง ๆ ควรเติมลมยางให้มากกว่ารถยนต์ในข้อ 2 แต่ไม่เกิน 65 ปอนด์
เทคนิคการเติมลมยางที่ทำให้การขับขี่ปลอดภัย มีอะไรบ้าง
นอกจากจะดูเรื่องสเปครถยนต์แล้ว ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่สามารถประยุกต์กับการเติมลมยางเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งด้านศักยภาพการขับขี่และด้านต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
- ควรการเติมลมยางรถยนต์ให้เท่ากันหมดทั้งสี่ล้อ เพื่อลดความเสี่ยงที่ยางจะสึกหรอไม่เท่ากัน อันทำให้เกิดการไม่สมดุลในการรับน้ำหนัก และทำให้การควบคุมรถยนต์ทำได้ยากกว่าที่ควร
- หลังการเติมลมยาง ควรดูลักษณะการบวมของยางด้วยตาเปล่าอีกครั้ง หากด้านหน้ายาง ส่วนดอกยางและร่องยางที่สัมผัสกับพื้นมีความนูนออกมาจากพื้นมาก จะเสี่ยงต่อการเกิดยางระเบิดเนื่องจากมีการสึกหรอส่วนกลางของยางมากกว่าปกติ
- หากต้องมีการบรรทุกคนงานหรือสิ่งของจำนวนมากเพื่อการทำธุรกิจ เช่น ผัก ผลไม้ กระถาง ต้นไม้ ฯลฯ เพื่อการค้าขาย ควรเติมลมยางให้เพิ่มขึ้นข้างละ 2 ถึง 3 ปอนด์ ป้องกันลมยางอ่อนเกินไป แล้วทำให้เกิดการกินหน้ายางด้านข้าง และเสี่ยงต่อการเกิดรอยที่ยางแล้วทำให้ยางรั่วแตกได้ง่าย
- การเติมลมยางรถยนต์ตามที่คู่มือระบุจะช่วยให้ยางรถไม่แข็งเกินไป ช่วยให้หน้ายางสามารถยึดเกาะพื้นผิวถนนได้ดีขึ้น จึงปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น
- ในช่วงที่มีฝนตกบ่อย ๆ ควรปรับลมยางให้มีความอ่อนลงเล็กน้อย 2 ถึง 3 ปอนด์ เพื่อให้หน้ายางสามารถมีพื้นที่ผิวระหว่างดอกยาง ร่องยางกับพื้นถนนได้ดียิ่งขึ้น และทำให้การรีดน้ำจากหน้ายางสมบูรณ์แบบขึ้น ลดอุบัติภัยจากการลื่นไถลชนรถคันอื่น หรือตกถนนได้
แนะเทคนิค ควรทำอย่างไรจึงจะทำช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าสตางค์คุณ
- ควรเลือกช่วงเวลาในการเติมลมยางรถยนต์ที่เหมาะสม นั่นคือ ช่วงเวลาตอนเช้าก่อนออกเดินทางเพื่อไม่ให้ภายในเนื้อยางมีความร้อนหรือขยายตัวมากเกินไป จนทำให้เกิดการอัดอากาศเข้ายางมากเกินกว่าที่ควรจะเติม
- เลือกใช้ยางชนิดที่เหมาะสมกับการใช้งาน การใช้ยางเรเดียล ซึ่งเป็นยางที่มีการเสริมความแข็งแรงด้วยใยเหล็ก แม้จะยึดเกาะถนนได้ดี แต่ก็ต้องเติมลมยางมากกว่า (ค่าใช้จ่ายสะสมสูงกว่า) ยางแบบดั้งเดิม (เป็นยางที่ใช้ผ้าใบซ้อนทับกัน เหมาะกับวิ่งรถด้วยความเร็วต่ำ ให้ความนุ่มนวล)
- ควรเช็คลมยางไม่ให้อ่อนกว่าเกณฑ์อยู่เสมอ เพื่อป้องกันภาวะต้านทานการหมุนหรือ Rolling resistance อันทำให้เครื่องยนต์ต้องใช้กำลังในการขับเคลื่อนมากกว่าปกติ ซึ่งย่อมเกิดการเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงตามมา จะเห็นได้ว่าระดับลมยางที่เหมาะสม มีความเกี่ยวพันกับค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ด้วย
- การเติมลมยางต้องสัมพันธ์กับสิ่งของที่บรรทุก หากบรรทุกของหนักจะทำให้ต้องเพิ่มแรงดันลมยางอีก 3 ปอนด์ต่อล้อแต่ละข้าง การย้ายสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถ (แม้ชิ้นเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกันก็หลายสิบกิโลกรัม) จะทำให้ลดภาระของเครื่องยนต์ในการใช้กำลังขับเคลื่อนรถ ช่วยยืดการทำงานของระบบล้อและเพลา ไม่ต้องเติมลมยางและพลังงานเชื้อเพลิงส่วนที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป เรียกว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายที่จะตามมาในทุกด้าน ทั้งค่าลมยาง ค่าเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นแก๊สหรือน้ำมัน
- การเติมลมยาง ไม่ควรน้อยเกินไปจนยางอ่อน เพราะจะเกิดปัญหายางบวม ทำให้อายุการใช้งานของยางรถยนต์สั้นลง (ทำให้ต้องเสียค่ายางใหม่เร็วกว่าที่ควรหลายพันบาท) ขณะเดียวกันก็ทำให้ดอกยางบริเวณขอบด้านข้างสึกหรือโล้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งทำให้ต้องเปลืองน้ำมันในการขับเคลื่อนรถมากกว่าปกติด้วย
- ผู้ขับขี่ที่ชอบเติมลมยางรถให้มากกว่าปกติ จนถึงขั้นยางแข็ง จะทำให้ดอกยางตรงกลางหน้ายางโล้นเร็วกว่าปกติและทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลง ทำให้ต้องเปลี่ยนยาง หรือปะยางที่รั่วเร็วกว่าที่ควร
จากเทคนิคการเติมลมยางรถยนต์ที่กล่าวมาข้างต้น คงเห็นแล้วว่าการเติมลมยางในระดับที่เหมาะสม สัมพันธ์กับการใช้งานและประเภทของรถยนต์ จะช่วยให้การขับขี่รถทุกครั้งเต็มไปด้วยความมั่นใจในความปลอดภัยและสบายใจที่สามารถประหยัดได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ระยะสั้นหรือเส้นทางไกลก็ไร้กังวล