ขับรถปลอดภัย พูดเหมือนง่ายแต่คล้ายทำยาก เพราะหากดูจากสถิติอุบัติเหตุทางรถยนต์ของประเทศไทยแล้ว พบว่าไทยมีอัตราอุบัติเหตุทางรถยนต์หนักที่สุดเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน
โดย ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC เผยว่าในปี 2564 รายงานอุบัติเหตุบนท้องถนนถึง 897,131 กรณี มากกว่า 90% ของกรณีทั้งหมดมีผู้บาดเจ็บ และรวมแล้วมีผู้เสียชีวิตมากถึง 13,657 ราย
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ คือ เมาแล้วขับ และบางส่วนมาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์บนถนน โดยเฉพาะที่เป็นช่วงที่สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
ช่วงนี้ที่ พายุฝนเข้าหรือฝนฟ้ากระหน่ำลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทัศนวิสัยการมองเห็นของผู้ขับขี่ลดลงอย่างมาก ซึ่งรวมไปถึงความสามารถของเครื่องยนต์ยานพาหนะด้วย
บทความนี้ คาร์แทรค มีวิธีรับมือการ ขับรถปลอดภัย ช่วงฝนตกหนัก มีพายุฝนและลมแรงมาฝากไว้อ่าน ก่อนการขับขี่ครั้งต่อไป
พฤติกรรมขับขี่รถที่รีบร้อน เป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุ ยิ่งโดยเฉพาะในสภาพอากาศที่มีฝนตกหนัก ฃ
หากขับรถฝนตกหนัก เราควรชะลอความเร็วลงให้ได้มากที่สุดเพื่อประคองรถยนต์ให้ได้ หรือหากทัศนวิสัยถนนข้างหน้าไม่ดีจริงๆ ก็แนะนำให้จอดข้างทางจะดีกว่า
เพราะบางครั้งการรอเพียงไม่กี่นาทีแล้วค่อยไปต่อ จะพาเราไปยังจุดหมายอย่างปลอดภัยได้มากกว่าการฝืนเร่งไปต่อทั้งที่สภาพอากาศไม่ดีนัก
การขับรถช่วงปกติควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 วินาที จากรถคันข้างหน้า แต่สำหรับขับรถช่วงฝนตกหน้ก ผู้ขับขี่ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 4 วินาที
เมื่อเราเว้นระยะห่างมากพอ จะทำให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้นหนึ่งหรือสองวินาที ที่เราสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นมากแต่สามารถเปลี่ยนชีวิตของคนคนหนึ่งได้เลยทีเดียว
เมื่อใดก็ตามที่แสงภายนอกลดลงไม่ว่าจะมาจากหมอก ควัน หรือสภาพอากาศที่มีพายุฝน เราควรเปิดไฟหน้าที่เป็นไฟต่ำของเราไว้ตลอดการเดินทาง
การเปิดไฟหน้ารถเช่นนี้จะช่วยให้เรามองเห็นได้ในระยะไกลมากขึ้น และทำให้รถคันอื่นๆ มองเห็นรถของเราชัดเจน ตอบสนองและระวังตัวได้อย่างดีขึ้นด้วย
แต่ไม่ควรเปิดไฟสูงหรือไฟตัดหมอกเป็นอันขาด เพราะอาจให้ผลลัพธ์ทางตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง
การใช้จับพวงมาลัยที่ถูกต้อง เป็นการเพิ่มความปลอดภัยในขณะขับขี่ และจำเป็นอย่างมากและต้องระวังเป็นพิเศษ เมื่อต้องขับอยู่บนถนนที่เปียกและมีฝน หรือลมพายุกรรโชกรุนแรง
การจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง คือ จับพวงมาลัยรถด้วยทั้งสองมืออย่างมั่นคงการกระทำนี้จะช่วยให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ และมั่นคงมากขึ้นหากต้องเจอสภาพถนนที่ลื่นมากหรือจังหวะที่รถยนต์เริ่มเสียการทรงตัว
อุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในขณะที่มีสภาพอากาศที่ฝนตกและลมแรงนั้น หลายครั้งมักเกิดกับรถที่มีขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุก รถทัวร์ รถสิบล้อ รถพ่วง
เพราะรถขนาดใหญ่จะบดบังทัศนวิสัยการขับขี่มากกว่า ทั้งขนาดของรถ และการเหยียบแอ่งน้ำกระจายมาโดนกระจกหน้ารถของเรา
เมื่อขับรถฝนตกควรหลีกเลี่ยงให้รถเหล่านี้ไปก่อน หรืออยู่ให้ห่างพอสมควรจะดีที่สุด
พยายามมีสมาธิกับการขับรถมากขึ้น ไม่ทำสิ่งที่รบกวนสมาธิ เช่น เปิดเพลงเสียงดังหรือพูดคุยมาก และคอยระวังรถที่วิ่งผ่านด้วยความเร็วมาก ๆ เพราะอาจทำให้เกิดน้ำกระจายขึ้นมาหน้ารถ ทำให้มองไม่เห็นทาง
หากโดนน้ำกระขายเข้าหน้ารถ ควรชะลอความเร็วรถลง และให้ที่ปัดน้ำฝนปัดน้ำ จนเราสามารถกลับมามองเห็นทางได้ชัดเจนก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เร่งเครื่องไปต่อ
1.ไม่เปลี่ยนเลนไปมาหรือแซงปาดคันอื่นๆ เลือกเลนที่ขับรถถนัด เหมาะสมกับความเร็วของเรา และพยายามประคองรถให้อยู่ในเลนเดิมให้นานที่สุด
2. หมั่นตรวจเช็คดอกยางล้อรถไว้เสมอ ในช่วงเวลาปกติ ดอกยางควรลึกอย่างน้อย 3 มม.
3. เลี่ยงการขับขี่ในช่วงสภาพอากาศไม่ปลอดภัย ไม่ขับรถในสภาพอากาศไม่ดีหากไม่จำเป็น
4. หากจำเป็นต้องออกจากบ้านช่วงฝนตกหนัก ก่อนออกเดินทางให้เช็คที่ปัดน้ำฝนทั้งหน้าและหลังว่ายังใช้งานได้ดี
5. เติมน้ำมันให้เต็มหรือมากกว่าที่จะใช้ในการเดินทาง ปกติฝนตกมักมากับรถติด หรือสภาพจราจรในบางพื้นที่ๆ รถติดอยู่แล้ว ผุ้ขับขี่ควรเติมน้ำมันให้เกินจากที่จะใช้มาระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันน้ำมันหมดกลางทาง
6. ติดตามคลื่นวิทยุรายงานสภาพการจราจรเป็นระยะ เผื่อเกิดเหตุการจราจรติดขัดในพื้นที่ที่จะต้องผ่าน จะได้หลีกเลี่ยง
7. ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ให้เต็ม เผื่อจำเป็นต้องใช้สื่อสาร
หวังว่าการขับขี่รถยนต์ของทุกคนจะปลอดภัย ในการขับขี่รถช่วงฝนตกหนักหรือในหน้าฝน และหากคุณต้องการอุปกรณ์ GPS ติดตามรถ ที่ช่วยดูแลรถในช่วงนี้หรือบริหารการใช้น้ำมันให้คุ้มค่ามากขึ้น ติดครั้งเดียว ประหยัดเงินยาวๆ ติดต่อขอข้อมูลเพื่อพิจารณากับเจ้าหน้าที่คาร์แทรคได้ที่ 02-136-2921 หรือคลิกลงทะเบียนง่ายๆ ให้เราติดต่อกลับโดยเร็วที่สุด
หากต้องเผชิญกับสภาพอากาศไม่ดี เช่น ฝนตกหนัก หมอกลงจัด ในขณะขับรถอยู่ จะมีวิธีการรับมืออย่างไร ขับรถตอนฝนตกหนัก อย่างไรให้ปลอดภัย?