BLOGS

รถจมน้ำ จะมีวิธีขั้นตอนการเอาตัวรอดอย่างไรบ้าง?

คุณต้องการให้ คาร์แทรค ช่วยเหลือเรื่องอะไร?

ฉันเป็น / ...
จำนวนยานพาหนะของคุณ
ขอบคุณค่ะ เจ้าหน้าที่คาร์แทรคจะติดต่อกลับหาคุณโดยเร็วที่สุด
Oops! Something went wrong while submitting the form.

มีหลายเหตุการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เราทราบดี แต่ที่สำคัญคือความเข้าใจ และการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ช่วยให้ความรุนแรงบรรเทาลงและสามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ วันนี้ คาร์แทรค ขอนำเสนอวิธีการเอาตัวรอดหาก รถจมน้ำ หรือตกคูคลองต่างๆมาฝากกัน

มีสติอยู่เสมอ

เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันต่างๆเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่หากเราควบคุมอารมณ์และมีสติ เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างแรกที่เราควรรู้คือ การเสียชีวิตจากรถจมน้ำ แม้ไม่ใช่น้ำลึกนั้นอาจะเกิดจาก อาการหมดสติที่เกิดจากการกระแทกกับผิวน้ำ หรือก่อนลงน้ำ ทำให้เราไม่สามารถหนีออกจากรถได้ทัน

วินาทีก่อนที่รถจมน้ำจนมิดคันนั้นมีไม่มาก ดังนั้นเราควรใช้เวลาอันน้อยนิดนี้รีบออกจากตัวรถอย่างเร็วที่สุด เราจะทราบกันดีว่า หากรถจมลงในน้ำแล้ว จะทำให้แรงดันอากาศรอบแน่นขึ้น และไม่สามารถผลักประตูออกได้ ทำให้ขาดอากาศหายใจ หรือจมน้ำเสียชีวิตภายในรถได้

ขั้นตอนและวิธีการเอาตัวรอดเมื่อรถจมน้ำ

นี่เป็นขั้นตอนปฏิบัติในกรณีที่เกิดเหตุรถจมน้ำ ให้ปฏิบัติตามดังนี้ :

ปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออก

ทำให้คล่องตัวในการหนีเอาตัวรอด หรือช่วยเหลือคนอื่นภายในรถ

หรือหากเราทราบว่า เรากำลังจะตกน้ำ (ขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่จะตกน้ำ จะมีช่วงเวลาก่อนถึงผิวน้ำ) ไม่ควรรีบปลดเข็มขัดนิรภัยในทันที เพราะเมื่อรถปะทะผิวน้ำ อาจจะทำให้ศีรษะเกิดการกระแทกบาดเจ็บ หรืออาจจะหมดสติก่อนได้ ควรรอให้การปะทะจบลงก่อน แล้วค่อยรีบปลดเข็มขัดทันที

ลดกระจกลงอย่างรวดเร็ว

ซึ่งรถยนต์สมัยใหม่จะเป็นระบบไฟฟ้าแทบทั้งหมดแล้ว ซึ่งจะมีเวลาไม่เกิน 5-10 นาที แม้เครื่องยนต์จะดับไปก่อนแล้ว ดังนั้นเราควรรีบเปิดกระจกก่อนระบบไฟฟ้าจะใช้งานไม่ได้ และจะไม่มีไฟฟ้าช็อตแต่อย่างใด

กรณีที่ไม่สามารถเปิดกระจกได้ แน่นอนว่าต้องกระแทกกระจกให้แตก แต่จะใช้อะไรดีละ? หากเราไม่มีอุปกรณ์กระแทกกระจกหรือของแข็งอื่นๆ ให้ถอดเบาะรองคอที่อยู่บนเบาะคนขับออก แล้วใช้เหล็กแท่งนั้นกระแทกกระจกหน้าต่างหรือกระจกข้าง ซึ่งจะง่ายกว่ากระจกหน้ารถที่ถูกออกแบบมาให้แตกยาก หรืออาจจะต้องกระแทกกระจกหลังรถแทน ในกรณีที่ส่วนหัวของรถจมลงไปก่อน ซึ่งจะกระแทกให้แตกง่ายกว่า หากกระจกไม่ได้จมอยู่ใต้ผิวน้ำ

การเปิดประตูรถ

เมื่อรถจมน้ำลงทั้งคันและจอดแน่นิ่งอยู่นั้นการเปิดจะทำได้ลำบากเนื่องจากแรงดันภายนอกมีมากกว่าภายใน ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือรอ ปลดล็อครถให้เรียบร้อยก่อน และรอเมื่อระดับน้ำภายในรถ สูงเกือบระดับคอ หรือพอเกือบถึงหลังคา จะทำให้ประตูเปิดง่ายขึ้น และพยายามเปิดให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่จงจำไว้ว่า การเปิดประตูเพื่อหนีออกให้เป็นทางเลือกสุดท้ายหากเป็นไปได้ เพราะจะทำให้น้ำทะลักเข้ารถและทำให้รถจมน้ำเร็วขึ้นอย่างมาก ดังนั้นควรหาทางเปิดกระจกให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

นำตัวเองออกจากรถให้เร็วที่สุด

เมื่อสามารถเปิดทางออกได้แล้ว ควรสูดลมหายใจเข้าให้สุด และค่อยๆดันตัวเองออกจากตัวรถ โดยไม่ต้องห่วงข้าวของมีค่าใดๆ นำตัวเองออกมาให้ปลอดภัยนั้นคืออันดับแรกที่ควรทำ ในกรณีที่มีเด็กมาด้วย ให้ใช้แขนหนีบตัวเด็กเข้ากับตัวเอว แล้วพยุงตัวขึ้นเหนือน้ำให้เร็ว หากมีหลายคน ให้ช่วยทีละคน ไม่ควรพาออกไปพร้อมกันทั้งหมด เพราะอาจจะทำให้พลาดและจะไม่มีใครรอด

หากอยู่ใต้น้ำที่ไม่สามารถหาผิวน้ำได้ ให้ปล่อยตัวลอยขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อทราบจริงๆแล้วว่าเป็นผิวน้ำ จึงออกแรงว่ายขึ้นไป เพราะมีหลายคนที่หลงทิศใต้น้ำ เพราะมองไม่เห็น และจะทำให้วิ่งผิดทิศทาง อาจว่ายลงไปลึกกว่าเดิมก็เป็นได้ หรือจะใช้วิธีการปล่อยฟองอากาศออกจากปากเราเพื่อดูว่าฟองอากาศลอยไปทางใด แล้วตามฟองอากาศนั้นขึ้นไป

สิ่งที่ควรระวัง และไม่ควรทำ

อย่าอยู่ในรถนานจนเกินไป เพราะจะทำให้อากาศน้อยลงเรื่อยๆ และการเสียชีวิตจากรถจมน้ำโดยส่วนใหญ่คือ ผู้เสียชีวิตพยายามอยู่ในรถส่วนที่มีอากาศหายใจเพราะคิดว่าจะทำให้รอด โดยเฉพาะตอนที่หน้ารถเริ่มจมลงเรื่อยๆ แล้วทำให้ผู้เสียชีวิตหนีไปด้านหลังของรถเพื่อหาอากาศหายใจ ทำให้รถดิ่งลงเรื่อยๆ และเสียเวลาในการนำตัวเองออกมาจากตัวรถ ทำให้ขาดอากาศหายใจภายในรถได้

การมีสติและการตัดสินใจในการปฏิบัติตามขั้นตอน เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะควรทำด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้หมด เราไม่ทราบว่าน้ำลึกแค่ไหน หรือใต้น้ำนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่คุณตระหนักเป็นอันดับแรกคือ การมีสติ และทำตามขั้นตอนด้านบนที่เราแนะนำไป สติและความใจเย็นของคุณจะช่วยให้คุณรอดพ้นจากอันตรายต่างๆ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเกิดขึ้นได้

รถจมน้ำ อุบัติเหตุที่การเอาตัวรอดนั้นแข่งกับเวลา ยิ่งติดอยู่ในรถนานเท่าไหร่ นั้นหมายถึงโอกาสในการรอดชีวิตยิ่งน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นควรทราบวิธีเอาตัวรอดกัน