หากการคาดเดาจากผู้เชี่ยวชาญนั้นถูกต้อง รถยนต์บนถนนมากกว่า 57% ในปี 2040 จะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
ตัวเลขนี้มีที่มาจากหลายสาเหตุ เช่น เทคโนโลยีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่ก้าวหน้ามากขึ้นจนสามารถผลิตได้เยอะและถูกลง แหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติลดลง การอุดหนุนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐของแต่ละประเทศ เช่น ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าลง เพื่อให้ราคารถถูกขึ้น เป็นต้น
และอีกนานาประการ ที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกรถส่วนบุคคล ที่เข้าตาและคู่ควรกับผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัย(ที่ขับขี่รถได้)
ถึงอย่างนั้น รถยนต์ไฟฟ้า กลับไม่ใช่นวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งคิดค้นพัฒนากันเมื่อสิบยี่สิบปีที่แล้ว แต่ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 1827 โดยมีบันทึกว่า นักบวชชาวฮังการี ที่เป็นวิศวกรและนักฟิสิกส์ด้วย ได้เริ่มคิดค้นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันและไฟฟ้า และนำมันไปใส่เป็นเครื่องยนต์ของรถยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นต้นแบบของรถเครื่องยนต์ไฮบริดก็ว่าได้
แล้วหลังจากนั้นก็มีการพัฒนารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเรื่อยมา กระทั่งในปี ค.ศ. 1839 ชายชาวสก็อตแลนด์ชื่อ โรเบิร์ต เดวิดสัน ได้สร้างรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้วิจัยและพัฒนาโดยใช้เวลาเป็นทศวรรษ ก็ได้กำเนิด “Hummingbird” รถแท็กซี่ระบบไฟฟ้าคันแรกของโลก
ชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือ Bersey รถแท็กซี่ไฟฟ้า ซึ่งมีมากถึง 75 คัน ทั่วทุกจุดในลอนดอน และแน่นอนว่าการใช้ระบบไฟฟ้าในรถก็กระจายตัวมากขึ้น ซึ่งแม้แต่ เฟอร์ดินาน ปอร์เช่ ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ Porsche ก็ได้เคยสร้างรถยนต์ที่ขับด้วยไฟฟ้า P1 ขึ้นในปี ค.ศ. 1898 ด้วย
ผู้ผลิตรถยนต์หลายแบรนด์ต่างซุ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองอย่างขะมักเขม้น แต่ในปี ค.ศ. 1908 เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ผลิตรถชื่อดังเจ้าหนึ่ง ได้ตัดสินใจชะลอการปรับปรุงรถโมเดลรุ่น T ของ เฮนรี่ ฟอร์ด ให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าไว้ เพราะเนื่องจากรุ่น T นั้นมีราคาถูกและขับง่ายกว่าอยู่แล้ว
ประกอบกับยิ่งเมื่อมีการค้นพบน้ำมันดิบในรัฐเท็กซัสของสหรัฐในช่วงเวลานั้น จึงทำให้เชื้อเพลิงประเภทน้ำมันกลายมาเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ารถยนต์ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ต้องใช้การลงทุนที่มากกว่าและเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความนิยม
ซึ่งการชะลอการเข้าสู่นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของ ฟอร์ด ก็เป็นแนวโน้มที่ผู้ผลิตรถเจ้าต่างๆ ก็ทำเช่นกันในเวลานั้น
รถยนต์ไฟฟ้า ถูกพูดถึงอยู่เนืองๆ ในทุกยุคสมัยหลังจากนั้น กระทั่งปลายศตวรรษที่ 20 ถึงต้นศตวรรษที่ 21 หรือเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วนี้เอง ที่ความเป็นไปได้ของการเพิ่มใช้รถพลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น กลับมาเป็นประเด็นสำคัญของโลก
จากภาวะสภาพแวดล้อมโลกเสียหายจากการผลาญโลกของมนุษย์ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอน เพราะสามารถใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานลม พลังงานน้ำ หรือพลังงานนิวเคลียร์ มาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้
ในปีค.ศ. 2003 กลุ่มวิศวกรของเทสลา (Tesla) ได้มีการเตรียมแผนการทำรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และได้ปล่อยรถรุ่น Roadster ที่สามารถเดินทางได้ไกลถึง 300 กิโลเมตรด้วยการชาร์จพลังงานไฟฟ้าเพียงครั้งเดียว ในปี ค.ศ. 2008
ต่อมาหลังจากนั้นปีเดียวก็ได้ปล่อยรถรุ่น Model 3 และ Semi-Trucks ซึ่งทั้งคู่นั้นใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด
สำหรับรถรุ่น Roadster มีการพัฒนาใหม่อยู่เรื่อยๆ และรุ่นล่าสุดเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทรงสปอร์ต ซึ่งขับได้ไกลถึง 1,000 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดมากกว่า 400 กม./ชม. และยังทำความเร็วจาก 0 – 100 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 4.2 วินาที เท่านั้น
ความสำเร็จในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา ได้จุดประกายความสนใจเรื่องรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าต่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ เช่น Volvo, BWM, Porsche ที่พัฒนาตัวมาเป็นคู่แข่งเต็มร้อยในวันนี้
ขณะที่ ในประเทศพัฒนาแล้ว ก็เริ่มใช้รถสาธารณะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เช่น กรุงลอนดอนที่ให้บริการแท็กซี่ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า และมีรถเมล์ไฮบริด ที่รวมระหว่างดีเซลและไฟฟ้ากว่า 2,600 คัน คิดเป็น 30% ของรถเมล์โดยสารทั้งหมดในลอนดอน ซึ่งช่วยลดการปล่อยมลพิษได้มากถึง 40%
ประเด็นชวนกังวลของรถยนต์ไฟฟ้าคงหนีไม่พ้นเรื่องการชาร์จพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉลี่ยต้องใช้เวลาราว 8 ชั่วโมง ในการเติมพลังงานจนเต็ม
รวมถึงแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในสถานีเติมน้ำมันก็ยังมีจำนวนไม่มาก ตามปั๊มน้ำมันหรือจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังต้องได้รับการปรับปรุงให้รองรับการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นให้มากกว่าและมีประสิทธิภาพกว่านี้
ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ที่ตัดสินใจซื้อหรือใช้รถยนต์ประเภทนี้แทนรถยนต์เติมน้ำมัน มักเป็นกลุ่มผู้ใช้รถในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ขับออกต่างจังหวัดหรือทางไกล ซึ่งเสี่ยงต่อการหาจุดชาร์จยาก
สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการดูแลรถเป็นพิเศษทั้งวิธีใช้งานรถและคุ้มครองรถหาย Cartrack ให้บริการระบบ GPS ติดรถ พร้อม Fleet Management ที่ให้ผู้ใช้รถรู้พิกัดรถ การใช้งาน ความเสื่อมแบตเตอรี่รถและเครื่องยนต์ รวมถึงติดตามกู้คืนด้วยความแม่นยำสูงสุด เราดูแลทั้งรถแบบบริษัท รถเช่า และรถส่วนบุคคล
หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือสอบถามโปรโมชัน โทรเข้ามาได้เลยที่ 02-136-2929 หรือคลิกปุ่มด้านล่างเพื่อกรอกข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ของ Cartrack ติดต่อกลับ
รถยนต์ไฟฟ้า ที่มาแรงในปี 2022 ที่จริงแล้วไม่ได้เพิ่งเริ่ม แต่ปลุกปั้นกันมาเป็นร้อยๆ ปี แล้ว! เปิดที่มาของรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถพลังงานไฟฟ้ากัน