ไส้กรองอากาศที่ผลิตออกมาในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ ไส้กรองอากาศแบบเปียกและไส้กรองอากาศแบบแห้ง
แบบแห้งจะเป็นกระดาษกรอง หรือเส้นใยจากธรรมชาติที่อาจมีน้ำยาเคมีเคลือบไว้เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย และอีกแบบหนึ่งคือไส้กรองแบบเปียก ซึ่งเป็นกระดาษกรองหรือเส้นใยตามธรรมชาติที่จุ่มน้ำมัน
โดยไม่ว่าจะเป็นไส้กรองชนิดใด ก็สามารถจัดการกับฝุ่นละอองได้เป็นอย่างดีทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไส้กรองอากาศก็เหมือนกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่มีอายุการใช้งานในตัวเอง เมื่อถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยน หากคุณไม่เปลี่ยนไส้กรองอากาศตามระยะเวลาที่กำหนด จะส่งผลให้ไส้กรองเดิมนั้นเสื่อมประสิทธิภาพในการจัดการฝุ่นละออง สิ่งสกปรก มีสิทธิ์ทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปในเครื่องยนต์ได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับการเปลี่ยน ซ่อม ถ่ายอะไหล่รถยนต์เท่าไร อาจจะสงสัยอยู่ว่า แล้วเราควรเปลี่ยนไส้กรองเมื่อไรดีละจึงจะเหมาะสม วันนี้เราจะมาดูกัน
ไส้กรองอากาศ โดยปกติจะไม่ได้กำหนดเวลาว่าจะต้องเปลี่ยนภายในกี่วัน กี่เดือน แต่จะถูกกำหนดมาเป็นเลขกิโลเมตรของรถยนต์ ซึ่งโดยทั่วไปคุณควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศให้กับรถยนต์ทุกๆ 20,000 กิโลเมตร หรืออาจจะต่ำกว่านั้นในกรณีที่คุณนำรถไปขับในที่ๆ มีฝุ่นละอองมาก แต่คุณอาจจะงงเรื่องการนับเวลา ว่าถ้าเกิดตนเองเพิ่งเปลี่ยนไส้กรองอากาศไป จะนับเลขกิโลเมตรให้ได้เท่าไรถึงจะครบ 20,000 ตามที่กำหนดไว้ หากคุณมีปัญหานี้อยู่ แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียด นั่งนับเลขกิโลกันทั้งวันก็ได้ แต่ให้ไปตามที่ศูนย์บริการกำหนด
คุณคงจำได้ใช่ไหมว่าเมื่อคุณเข้าศูนย์บริการเพื่อบำรุงรักษารถแต่ละครั้ง ทางศูนย์จะให้เป็นแผ่นกระดาษแข็ง หรือป้ายกระดาษที่เขียนเลขกิโลเมตรไว้ ว่าถ้ารถของคุณถึงกิโลเมตรที่เท่าไร ให้นำเข้าศูนย์เพื่อมาบำรุงรักษาอีกครั้ง คุณอาจจะยึดเลขกิโลเมตรตามที่ศูนย์บริการกำหนด แล้วยึดเวลาเปลี่ยนไส้กรองอากาศตามนั้นเลยก็ได้
การเปลี่ยนไส้กรองอากาศ ยังสามารถทำได้เมื่อเกิดสถานการณ์นี้กับรถคุณ คือต่อให้รถของคุณยังไม่ถึงเลขกิโลเมตรตามที่กำหนดไว้ แต่ถ้าเริ่มมีอากาศผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เช่น รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ มีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นในเครื่องยนต์ระหว่างที่สตาร์ทหรือขับรถ เมื่อสตาร์ทรถแล้วเครื่องยนต์มีอาการสั่น หรือกำลังรถมักแผ่วลงระหว่างที่คุณกำลังขับอยู่ รวมไปถึงเมื่อรถของคุณมีควันดำขนาดหนัก
หากมีอาการเช่นนี้ ขอบอกเลยว่าอย่ามัวแต่รอให้ถึงเลขกิโลเมตรตามที่ศูนย์กำหนด ให้รีบนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจหาสาเหตุทันที โดยมากรถที่มีอาการเหล่านี้มักจะมีสาเหตุมาจากไส้กรองอากาศ ทางศูนย์จะแก้ปัญหาให้โดยการเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ และแก้ปัญหาในเครื่องยนต์ที่เกิดมาจากการมีสิ่งสกปรกเข้าไปสะสม เมื่อคุณเปลี่ยนไส้กรองอากาศแล้ว ปัญหาอย่างที่กล่าวไปในข้างต้นก็จะหมดไป
ที่กล่าวมานี้ก็คือระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนไส้กรองอากาศให้รถคุณ ถึงแม้อุปกรณ์ชิ้นนี้จะเป็นเพียงอุปกรณ์เล็กๆ แต่ก็สำคัญ เพราะมันสามารถปกป้องเครื่องยนต์ของคุณไม่ให้สึกหรอได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าไส้กรองอากาศจะมีระยะเวลาที่แน่นอนในการเปลี่ยน คุณอาจไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับมันเลยก็ได้ แต่สำหรับบางคนที่อาจมีความรู้เกี่ยวกับไส้กรองอากาศ รู้วิธีการถอด การใส่ หรือการทำความสะอาดกันมาบ้าง ก็ขอแนะนำว่าเมื่อสวมไส้กรองอากาศไปได้สักระยะแล้ว คุณควรถอดอุปกรณ์ชิ้นนี้ออกมาทำความสะอาดอย่างถูกต้องบ้างเป็นครั้งคราว โดยใช้น้ำยาที่ระบุว่าใช้ทำความสะอาดไส้กรองอากาศเท่านั้น
โดยเฉพาะถ้าคุณจำเป็นต้องขับรถผ่านสถานที่ที่มีฝุ่นควันมาก ก็ควรจัดการทำความสะอาดไส้กรองอยู่เสมอ ทั้งนี้ การที่คุณนำไส้กรองอากาศออกมาทำความสะอาด เป็นเพียงการลดโอกาสไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าไปสะสมในเครื่องยนต์เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ายิ่งคุณทำความสะอาดบ่อยๆ จะทำให้ไส้กรองอากาศมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นแต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาที่กำหนด อย่างไรคุณก็ต้องเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่อยู่ดี
จบเรื่องอายุการเปลี่ยนและการดูแลไส้กรองอากาศไปแล้ว ต่อไปเราจะมาดูกันบ้างว่าควรทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปสะสมในรถมากเกินไป จนอาจรั่วไหลเข้าสู่เครื่องยนต์และทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา โดยสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
ไส้กรองอากาศ ทำหน้าที่ช่วยดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก ไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์ หากมีฝุ่นเข้าไป จะเข้าไปปนอยู่ในน้ำมันและของเหลวในเครื่อง