5 นาทีตรวจสภาพรถ ตรวจแล้วขับรถสบายใจ ตรวจแล้วปลอดภัย ตรวจเรื่องอะไรบ้างนะ?
ตรวจสภาพรถ ตรวจอะไรบ้าง ? ผู้ใช้รถหลายคนทราบดีว่า ถ้าใช้รถ ต้องตรวจสอบสภาพรถเป็นระยะๆ แต่ถ้าถามว่าตรวจอะไรบ้าง แต่ละคนอาจจะมีลิสต์รายการไม่เท่ากัน
การ ตรวจเช็คสภาพรถ เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ระยะสั้นระหว่างบ้านไปที่ทำงาน การเดินทางระยะไกลข้ามจังหวัดเพื่อการท่องเที่ยว หรือเป็นรถบริษัทที่ใช้ขับขี่เพื่อทำงาน
เพราะการตรวจสภาพรถก่อนการสตาร์ท ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนปลอดภัยยิ่งขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนนแก่ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย
บทความ คาร์แทรค ตอนนี้ รวมวิธีเช็ครถก่อนสตาร์ท ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ภายใน 5 นาที ที่ครบถ้วนแบบฉบับของกูรูรถยนต์แนะนำ ว่าถ้า ตรวจสภาพรถ ตรวจอะไรบ้าง
ตรวจระดับของเหลว
การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ ควรเริ่มจากตรวจสอบระดับของของเหลวต่าง ๆ ในระบบเครื่องยนต์ ให้อยู่ในช่วงเกณฑ์ที่เหมาะสม
ภาชนะบรรจุของเหลวในเครื่องยนต์มักมีขีดต่ำสุด (สังเกตจากคำว่า MIN) และขีดสูงสุด (จะมีคำว่า MAX ปรากฏอยู่) ผู้ขับขี่ควรเช็คให้ระดับของเหลวอยู่ระหว่างสองขีดนี้ ของเหลวที่ต้องเช็คก็เช่น
- ระดับน้ำมันเครื่อง เป็นข้อยกเว้นการดูขีด MIN-MAX เพราะต้องอาศัยการสังเกตที่ความสูงของน้ำมันเครื่องระหว่างสองจุดบนแกนโลหะแบนยาวที่เสียบอยู่ภายในภาชนะบรรจุ
วิธีคือ ชักก้านวัดระดับขึ้นมา เช็ดคราบเดิมให้แห้งก่อน แล้วกดกลับเข้าไปที่เดิม เมื่อชักกลับขึ้นมาดูอีกครั้งจะทำให้สังเกตระดับสีน้ำตาลของน้ำมันเครื่องได้
หากน้อยกว่าระดับที่เหมาะสมก็ให้เติมน้ำมันเครื่องเพิ่มเติมแล้ววัดใหม่จนได้ระดับ แต่อย่าให้เกินระดับ MAX - น้ำมันพาวเวอร์สำหรับพวงมาลัยรถยนต์แบบผ่อนแรงในการขับขี่ ซึ่งมักเป็นรถกระบะ รถตู้โดยสาร หรือรถบรรทุกขนาดใหญ่
- น้ำหล่อเย็นในหม้อพักน้ำ ซึ่งอยู่ตำแหน่งด้านหน้าของกระจังรถ ช่วยป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัดเมื่อใช้งานต่อเนื่อง
- น้ำในหม้อน้ำรถยนต์ การปล่อยให้น้ำในหม้อน้ำแห้งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของเครื่องยนต์น็อคจากระบบเครื่องยนต์ร้อนจัดที่ต้องระมัดระวังมากๆ
- น้ำกลั่นในแบตเตอร์รี่รถยนต์ ต้องเช็คทั้ง 6 ช่องให้มีน้ำกลั่นพร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยจะใช้น้ำกลั่นธรรมดาหรือน้ำยาอิเล็กโทรไลต์ที่มีจำหน่ายเพื่อเครื่องยนต์ ก็ได้เช่นกัน
แต่ถ้าเป็นรถยนต์ที่ผลิตรุ่นใหม่ๆ อาจไม่มีช่องให้เติมน้ำกลั่นแบตเตอร์รี่แล้ว ก็สามารถข้ามจุดนี้ไปได้ - น้ำมันเบรก สำคัญต่อการควบคุมความเร็วรถอย่างมาก
- น้ำมันคลัชท์ จำเป็นในการเปลี่ยนเกียร์เพิ่มลดความเร็วในการขับขี่รถยนต์
- น้ำทำความสะอาดกระจก ต้องมีพร้อมเสมอ เพื่อทำความสะอาดคราบสกปรกบนกระจกหน้าและหลัง เพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่
ในการเช็คระดับของเหลวที่กล่าวมา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเช็คตอนเครื่องยนต์เย็นและยังไม่สตาร์ท เพื่อให้ยังไม่มีการสูบน้ำเข้าตามระบบท่อต่างๆ ทำให้ได้ความเที่ยงตรง
รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการถูกไอน้ำหรือน้ำมันพุ่งจากภาชนะบรรจุลวกเข้าร่างกาย เช่น ใบหน้า มือและแขน ของเราด้วย
ตรวจความสมบูรณ์สายพานและอุปกรณ์สำคัญ
ตรวจเช็คสภาพรถ ถัดมา คือ ความสมบูรณ์ของสายพาน ตัวท่อที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ ข้อต่อต่างๆ รวมถึงการปิดสนิทของฝาภาชนะที่ใส่ของเหลวต่างๆ ในเครื่องยนต์ อาทิ
- หม้อน้ำรถยนต์ หลังการเติมน้ำ ต้องปิดฝาให้สนิท เพื่อป้องกันอุบัติเหตุหม้อน้ำระเบิดจากไอน้ำที่ระเหยเมื่อเจอกับความร้อนจัด
พร้อมทั้งตรวจดูความสมบูรณ์ของสายเชื่อมต่อ ต้องไม่มีรอยแตกลายที่ทำให้น้ำรั่วซึมได้ - สายเบรก สายต้องไม่ขาดชำรุด ซึ่งอาจจะขาดได้บ่อยจากการเจอสัตว์กัดแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต
วิธีทดสอบแบบง่ายๆ ให้ลองสตาร์ทเครื่องแล้วเคลื่อนที่ไประยะทางสั้นๆ ประมาณ 5 – 10 เมตร แล้วลองเหยียบเบรกดู 1-2 ครั้ง ก่อนเดินทาง - สายพานเครื่องยนต์ ก็เป็นอีกจุดของการตรวจสภาพรถยนต์ที่ต้องรู้เทคนิค คือ เมื่อเราใช้มือกดสายพาน หากสายพานปกติจะมีความหย่อนเล็กน้อยตามนิ้ว 5 ถึง 10 มิลลิเมตรเท่านั้น
นอกจากนี้ สำรวจดูว่าส่วนแกนหมุนสายพานมีการร้าวแตกหรือไม่ หากมีอาการชำรุดส่วนใด ต้องรีบนำไปให้ช่างที่อู่ตรวจสอบเพื่อเปลี่ยนโดยด่วน
ตรวจชิ้นส่วนรถที่เป็นยาง
การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ ประเด็นที่ 3 คือ เรื่องของชิ้นส่วนที่มียางเป็นองค์ประกอบ ได้แก่
- ยางล้อรถยนต์ นอกจากเช็คว่ายางรั่ว ยางแบนหรือไม่แล้ว ควรวัดความดันลมยาง ด้วยเครื่องมือวัดเกจส่วนตัวเพื่อให้ได้ค่าที่เที่ยงตรง
หากลมยางไม่พอ ต้องเติมให้ได้ระดับตามคำแนะนำในคู่มือรถยนต์ อีกทั้งยังต้องตรวจดูว่าเริ่มมีรอยแตกลายที่แก้มยางหรือยางเริ่มโล้นหรือไม่ เพื่อที่หากพบอาการตามนี้ จะได้รีบนำรถไปเข้าอู่เปลี่ยนยางชุดใหม่ - ยางใบปัดน้ำฝน หากยางเสื่อมสภาพจะทำให้วิสัยทัศน์ในการขับขี่ลดลง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน มีลมมรสุม หรือการขับขี่เวลาฝนตกยามวิกาล เพราะการฝืนใช้ยางที่ปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ นอกจากจะไม่ช่วยให้กระจกรถยนต์สะอาด ยังสร้างความเสียหายให้กับกระจกรถยนต์อีกด้วย
ตรวจระบบไฟส่องสว่าง
การตรวจสภาพรถยนต์ประเด็นที่ 4 คือ เรื่องไฟส่องสว่าง ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟหรี่ ไฟท้าย ไฟเบรก ล้วนเป็นจุดสำคัญทั้งสิ้น
เนื่องจากเราต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะร่วมกับรถยนต์และผู้คนที่สัญจร การขับรถทั้งที่ไฟดับหรือไฟแตก แม้เพียงดวงใดดวงเดียว จะส่งผลให้เกิดอุบัติภัยบนท้องถนนได้
โดยเฉพาะไฟเบรกและไฟเลี้ยว หากไฟไม่ติดเวลาขับขี่ รถคันอื่นๆ จะไม่ทราบเลยว่าเราตัดสินใจจะทำอะไร ก็เสี่ยงสูงมากที่จะเกิดอุบัติเหตุได้
นอกจากการตรวจสอบสภาพรถ 4 เรื่องสำคัญนี้ ความสม่ำเสมอของการตรวจสอบ ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ผู้ขับขี่ต้องทำให้เป็นประจำ โดยใช้เวลาสั้นๆ เพียง 5 นาที อย่างที่ คาร์แทรค เล่าให้ฟังนี้
รวมถึง การดูแลตัวผู้ขับขี่เอง นอกจากตรวจเช็คสภาพรถให้พร้อมใช้งานอย่างที่สุด ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่มึนเมาขณะขับขี่ ไม่ขับรถพร้อมกับการใช้โทรศัพท์ ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรืออดนอนซึ่งเสี่ยงต่ออาการหลับใน ฯลฯ
แต่หากคุณเป็นธุรกิจหรือผู้ที่มีรถใช้งานเป็นจำนวนมาก Cartrack มีระบบ Fleet Management ที่ช่วยดูแลและจัดการการใช้งานรถให้แบบครบวงจร
- ติดตามพิกัด GPS รถ
- ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลผู้ขับขี่รถ
- ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลการใช้งานรถ
- แจ้งเตือนผู้ขับขี่ถึงพฤติกรรมขับขี่อันตราย
- แจ้งเตือนพฤติกรรมขับขี่เข้าระบบทันทีผ่าน Cartrack app และบันทึกข้อมูลเข้าระบบ Cloud เก็บข้อมูลได้สูงสุดถึง 5 ปี
ประโยชน์ของระบบ Fleet Management ของ Cartrack ที่ผู้ใช้งานจะได้รับ
- รู้พิกัดรถอย่างแม่นยำ
- ควบคุมอัตโนมัติได้ว่า ผู้ขับขี่ใช้งานรถคันไหนได้
- ควบคุมการใช้งานรถให้อัตโนมัติ ให้ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด
- ควบคุมผู้ขับขี่แบบเรียลไทม์
- ผู้จัดการยานพาหนะที่ดูระบบหลังบ้าน ทราบข้อมูลทันที
- มีข้อมูลชัดเจนที่ใช้พัฒนาการขับขี่ให้ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรถได้ เท่ากับลดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มผลกำไร
- แจ้งเตือนรถหายหรือมีความผิดปกติตลอด 24 ชม. ทุกวัน
Cartrack มีโปรโมชันสำหรับลูกค้าธุรกิจ ติดต่อรับโปรโมชันตอนนี้ได้ที่ 02-136-2929 หรือคลิกกรอกข้อมูลที่ปุ่ม “ติดต่อเราฟรีที่นี่!” เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับโดยเร็วที่สุด